ประเภทของแคน
ประเภทของแคน อาจแบ่งได้หลายลักษณะ ในที่นี้จะแบ่งประเภทของแคน ใน 3 ลักษณะ คือ แบ่งตามจำนวนลูกแคน , แบ่งตามระดับเสียงหรือคีย์ แบ่งตามลิ้นแคนแบ่งตามจำนวนลูกจะได้ดังนี้
แคนหก มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แคนโก่ แต่ช่างทำแคนบางคนเรียกแคนสาม
ประกอบด้วยลูกแคน 6 ลูก จัดเรียงเข้าอยู่ในเต้าเป็นสองแพ ซ้ายขวา แพละ 3 ลูก
.....มีระบบเสียงอยู่ในมาตราเพนตะโทนิค ( Pentatonic Scale) เรียงระดับจากต่ำไปสูง 5 เสียง คือ ซอล ลา โด เร มี
โดยเสียงซอล มี 2 ลูก เป็นคู่เสียงอ็อคเทฟ
(คู่แปดเปอร์เฟคท์) ซึ่งกันและกัน ส่วนเสียงอื่นๆ
เป็นเสียงเดี่ยวแคนหกเหมาะสำหรับบรรเลงทำนองเพลง ใน 2 บันไดเสียงคือ
บันไดเสียงซีเมเจอร์ (C Major) และบันไดเอไมเนอร์ (A Minor) หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ
แคนหกสามารถใช้เล่นทำนองที่มีเสียง “โด” ออกสำเนียงเมเจอร์ และทำนองที่มีเสียง “ลา” ออกสำเนียงไมเนอร์เป็นเสียงหลัก (tonic) ได้ ....
การเทียบบันไดเสียง ในที่นี้ หมายถึง กรณีที่เสียง โด ตรงกับ C
แคนเจ็ด ประกอบด้วยลูกแคน 7 คู่ (14 ลูก)
จัดเรียงเข้าอยู่ในเต้าเป็นสองแพ ซ้ายขวา แพละ7ลูก
มีระบบเสียงอยู่ในมาตราไดอะโทนิค (Diatonic scale) เรียงระดับจากต่ำไปสูง
7 เสียง คือ ลา ที โด เร มี ฟา ซอล
แต่ละเสียงมีคู่เสียงเป็นคู่แปดเฟอร์เฟคท์ หรือคู่เสียงอ็อคเทฟ ยกเว้นเสียง ซอล
เป็นเสียงคู่ 1เปอร์เฟคท์ หรือเสียงคู่ยูนิซัน (unison)
คือเป็นเสียงคู่ในระดับเสียงเดียวกัน แคนเจ็ด จึงมีสองช่วงทบ
เสียง ( 2 octaves) เรียงระดับจากต่ำไปสูงได้ 13
เสียง คือ ลา ที โด เร มี ฟา ซอล ลา ที โด เร มี ฟา (และซอลระดับเดิม)
ทำให้แคนเจ็ดเหมาะสำหรับใช้บรรเลงทำนองใน 6 บันไดเสียง คือ
บันไดโทนิค (tonic) บันได dominant และบันได
subdominant ทั้งทางเมเจอร์ และทางไมเนอร์ ตัวอย่างเช่น
สมมติแคนเจ็ดเต้าหนึ่งถูกประดิษฐ์ขึ้นให้เสียงโป้ซ้าย (ซึ่งคือโด) ตรงกับ เสียง C
ของเปียโน หรือคีย์บอร์ด แคนเจ็ดเต้านั้น
สามารถบรรเลงทำนองได้ในบันไดเสียง
แคนแปด ประกอบด้วยลูกแคน 8 คู่ (16 ลูก)
จัดเรียงเข้าอยู่ในเต้าเป็นสองแพ ซ้ายขวา แพละ8ลูก
มีระบบเสียงอยู่ในมาตราไดอะโทนิค(Diatonic scale) ครบ2ช่วงทบเสียงอย่างสมบูรณ์
แคนแปดวางตำแหน่งเสียงของลูกแคนเหมือนกับแคนเจ็ดทุกประการ เพียงแต่เพิ่มลูกแคนเข้ามาอีก 1 คู่ ( 2ลูก แพละลูก) ที่ด้านปลายนอกสุดของเต้าแคน คู่ที่เพิ่มเข้ามานี้
ใช้เป็นเสียงประสานยืน (drone) เรียกเสียงนี้ว่า “ เสียงเสพ ” หรือเรียกว่า “ เสพก้อย
” เพราะเวลาบรรเลง มักใช้นิ้วก้อยของผู้บรรเลงปิดรูนับ
แต่หมอแคนผู้มีทักษะน้อยมักใช้ขี้สูดก้อนเล็กๆ ปิดรูนับเสียงเสพนี้ เพื่อให้ดังไปตลอดการบรรเลง
เสียงเสพขวา เป็นเสียงลา(สูง) ใช้สำหรับประสานให้กับทำนองเพลงทางไมเนอร์ ส่วนเสียงเสพซ้าย เป็นเสียงซอล(สูง)
ใช้สำหรับประสานให้กับทำนองเพลงทางเมเจอร์
แคนเก้า ประกอบด้วยลูกแคน 9 คู่ (18 ลูก)
จัดเรียงเข้าอยู่ในเต้าเป็นสองแพ ซ้ายขวา แพละ9ลูก
มีระบบเสียงอยู่ในมาตราไดอะโทนิค (Diatonic scale) ครบ 2
ช่วงทบเสียง กับมีเสียงเสพประสานยืนอีก 2 เสียงเหมือนแคนแปดทุกประการ
แต่ได้เติมคู่เสพก้อยพิเศษเข้ามาอีก 1 คู่
เพื่อให้เสียงประสาน หนักแน่น กล่อมกันดียิ่งขึ้น ฟังดูคล้ายเป็นเสียงคอร์ดประสาน
และยังช่วยให้ผู้บรรเลงเลือกใช้ให้เหมาะสมกับทำนองต่างบันไดเสียง หลายบันไดเสียงขึ้นไปอีกแคนเก้า
นิยมทำให้มีความยาวอย่างน้อย เกือบเป็น2เท่าของแคนเจ็ดแคนแปด
เหตุผลก็คือ เพื่อให้มีระดับชุดเสียงอยู่ในแนวทุ้มต่ำ
ซึ่งหากทำแคนเก้าให้มีขนาดความยาวของลูกแคนเท่ากับแคนเจ็ดแคนแปด
จะทำให้ระยะห่างระหว่างลิ้นแคน
กับรูแพว ของลูกเสพก้อยที่เพิ่มเข้ามาใหม่นั้น มีระยะแคบมาก
จนทำให้ผู้เป่าควบคุมลมผ่านลิ้นไม่ได้ ทำให้เสียงดังตลอดเวลาแม้ไม่ได้ปิดรูนับ ซึ่งอาการเช่นนี้ ช่างทำแคนเรียกว่า “ ลิ้นนอง
”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น